อร่อยจุใจ ไปกับชูครีมชิ้นพอดีคำ สอดไส้ครีมสตรอว์เบอร์รี่
ใส้ครีมสตรอว์เบอร์รี่ เป็นสูตรพิเศษที่ผสมกันระหว่าคัสตาร์ดแบบโฮมเมดผสมกับแยมสตรอว์เบอร์รี่สูตรเข้มข้น อร่อยเข้ากันกับเนื้อชูครีมสไตล์ญี่ปุ่น ที่มีความนุ่มฟูเข้ากันได้ลงตัวสุดๆ มาพร้อมกับปริมาณจุใจ 12 ชิ้นเลยทีเดียว จะทานเป็นขนมทานเล่น หรือทานคู่กับของหวานอื่นๆเช่นไอสกรีมรสโปรดก็เข้ากั๊นเข้ากัน
“คางปลาบุรี” ความเรียบง่ายอย่างลงตัว
“บุรี” หรือปลา “ฮามาจิ” คือปลาในตระกูล (Yellow Tail) เป็นปลานำเข้าจากญี่ปุ่นชนิดเดียวในโลกที่มีชื่อเรียกหลากหลายไปตามช่วงอายุ จัดเป็นปลาเนื้อขาวที่มีความมันแทรกอยู่ในเนื้อ
“คางปลาบุรี” เป็นเมนูที่พบได้บ่อยในร้านอาหารญี่ปุ่น และเป็นที่นิยมในงานแต่งงานและงานเฉลิมฉลองอื่นๆ เนื่องจากมีรสชาติอร่อยและเนื้อนุ่มหอม เนื้อใต้คางมีไขมันอยู่มาก ซึ่งทำให้มีรสชาติหวานและเนื้ออร่อย การทำคางปลาบุรี จะใช้วิธีการย่างหรืออบที่ทำให้ผิวเนื้อนอกกรอบและนุ่มอยู่ภายใน มักจะปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยหรือโยชุ หรือเมนูต่างๆอีกมากมาย
วิธีทำคางปลาฮามาจิหรือปลาบุรีย่างเกลือ
1. ตั้งเตาถ่านสำหรับย่าง (ควรตั้งรอประมาณ 45 นาที ไฟจะร้อนพอดี ไม่แรงเกินไป)
2. วางคางปลาบุรีบนตะแกรงย่าง โรยเกลือเล็กน้อย ย่างประมาณ 10 นาที
3. ค่อยๆกลับด้านคางปลา โรยเกลืออีกด้าน แล้วทิ้งไว้อีก 10 นาที กลับด้านทุก 10 นาทีแบบนี้เรื่อยๆ จนสุก (ใช้เวลาทั้งหมด 20-30 นาที แล้วแต่ขนาดของคางปลา)
4. ยกคางปลาฮามาจิลงจาน นำหัวไชเท้าฝอยมาบีบน้ำออก ปั้นเป็นก้อนกลมๆ วางข้างชิ้นปลา พร้อมราดซีอิ๊วบนหัวไชเท้า ก็เสิร์ฟคางปลาบุรีย่างเกลือได้เลย
วิธีการเก็บ
• นำออกมาจากช่องแช่แข็งเฉพาะเท่าที่ต้องการจะประกอบอาหาร ไม่แนะนำให้นำออกมาละลายแล้วกลับไปแช่แข็งใหม่ เพราะจะทำให้คุณภาพลดลง
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในรสชาติไข่ปลาแซลมอนอันเป็นเอกลักษณ์ ตอนนี้คุณสามารถสัมผัสความอร่อยแบบต้นตำรับญี่ปุ่นได้ง่ายๆได้ที่บ้าน ด้วยไข่ปลาแซลมอน จากแบรนด์ นิสซุย (Nissui) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารทะเลญี่ปุ่น
ไข่ปลาแซลมอน คืออะไร?
ไข่ปลาแซลมอน (いくら - Ikura - อิคุระ) ของนิสซุยผลิตจากไข่ปลาแซลมอนคุณภาพเยี่ยม ผ่านกระบวนการหมักในซอสโชยุสูตรพิเศษจากแบรนด์นิสซุย ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงรสอาหารทะเลญี่ปุ่น ที่ช่วยดึงรสอูมามิออกมาได้อย่างเต็มที่ ทำให้ได้ไข่ปลาที่มีรสชาติกลมกล่อม หอมมัน และไม่เค็มจนเกินไป
จุดเด่นของไข่ปลาแซลมอนจากแบรนด์นิสซุย
รสชาติแบบต้นตำรับ: ด้วยสูตรการหมักเฉพาะตัว ทำให้ไข่ปลามีรสชาติที่สมดุล และสามารถนำไปรับประทานได้ทันทีโดยไม่ต้องปรุงเพิ่ม
ความสดใหม่คุณภาพสูง: ผลิตจากไข่ปลาแซลมอนที่สดใหม่ ผ่านกรรมวิธีที่ได้มาตรฐานระดับสากล ทำให้ได้เม็ดไข่ปลาที่สวยใส มีผิวสัมผัสแบบ "พุจิ พุจิ" (ปุดๆ) เมื่อกัดจะแตกในปาก มอบความรู้สึกที่น่าประทับใจ
เมนูแนะนำที่ทำได้ง่ายๆ
ด้วยความที่ไข่ปลาของเราปรุงรสมาอย่างพิธีพิถันมาเรียบร้อย จึงสามารถนำไปสร้างสรรค์เมนูญี่ปุ่นยอดนิยมได้อย่างง่ายดาย
ข้าวหน้าไข่ปลา (Ikura Don): ตักไข่ปลาแซลมอนโปะลงบนข้าวสวยญี่ปุ่นร้อน ๆ ก็อร่อยได้ทันที
ซูชิ: ใช้เป็นหน้าซูชิแบบนิกิริ หรือซูชิแบบเรือ (Gunkanmaki)
สลัด: นำไปโรยบนสลัด เพื่อเพิ่มรสชาติและสีสัน
เมนูอื่น ๆ: ใช้เป็นส่วนประกอบในเมนูพาสต้า หรือเป็นกับแกล้มคู่กับเครื่องดื่ม
วิธีใช้เตรียมไข่ปลาเพื่อนำไปประกอบอาหาร
1. นำไข่ปลาแซลมอนออกจากช่องฟรีซ (ช่องแข็ง)
2. นำไปพักไว้ในตู้เย็นช่องปกติประมาณ 30-60 นาที เพื่อให้ไข่ปลาละลายอย่างช้า ๆ เพื่อคงคุณภาพของไข่ปลา
3. เมื่อละลายแล้ว สามารถแกะซองและนำไปรับประทานได้ทันที
ไม่ต้องบินไปถึงญี่ปุ่นก็สัมผัสรสชาติอันล้ำค่าจากท้องทะเลได้ ไข่ปลาแซลมอนนิสซุย พร้อมแล้วที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเมนูพิเศษในทุกโอกาสของคุณ
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นสไตล์อิซากายะ หรืออยากลองสัมผัสรสชาติอันลุ่มลึกของวัตถุดิบระดับพรีเมียม “ตับปลาอังกิโมะ” คือหนึ่งในเมนูที่ห้ามพลาด!
อังกิโมะคืออะไร?
อังกิโมะ (Ankimo) คือตับของปลาอังโกะ (Anko Fish) หรือ มังค์ฟิช (Monkfish) ซึ่งเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในทะเลลึก ถือเป็นหนึ่งในอาหารชินมิ (Chinmi) หรืออาหารเลิศรสที่หาทานได้ยากของญี่ปุ่น ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ฟัวกราส์แห่งท้องทะเล" เพราะมีเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่มคล้ายตับห่าน มีรสชาติเค็มอ่อน ๆ และมีความหอมมันอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ทำไมถึงอร่อยและพิเศษ?
ตับปลาอังกิโมะของเรา เป็นสินค้าที่ผ่านกระบวนการปรุงรสและต้มมาอย่างพิถีพิถันจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน จึงมีรสชาติที่กลมกล่อมและพร้อมรับประทานทันที ไม่ต้องนำมาปรุงเพิ่มให้ยุ่งยาก ทำให้คุณได้สัมผัสกับรสชาติแบบดั้งเดิมของอังกิโมะได้อย่างง่ายดาย นอกจากความอร่อยแล้ว อังกิโมะยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เช่น วิตามิน A, วิตามิน D และไขมันดีในปริมาณที่สูงอีกด้วย
เมนูที่ทำได้ง่ายๆ
เมนูจากตับปลาอังกิโมะสามารถทำได้หลากหลาย และแต่ละเมนูล้วนช่วยดึงรสชาติความอร่อยออกมาได้อย่างเต็มที่
- ทานเป็นกับแกล้ม: เสิร์ฟอังกิโมะแช่เย็นคู่กับต้นหอมซอย, โมมิจิโอโรชิ (หัวไชเท้าขูดผสมพริก) และซอสพอนสึ (Ponzu Sauce) เพื่อเพิ่มความสดชื่นและตัดความมัน
- ทำเป็นนิกิริซูชิ: วางชิ้นอังกิโมะบนข้าวปั้นซูชิ เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมในร้านซูชิระดับพรีเมียม
- ทำเป็นสลัด: หั่นอังกิโมะเป็นชิ้นพอดีคำ วางบนสลัดผัก ราดด้วยน้ำสลัดงา หรือซอสพอนสึ
วิธีเตรียมตับปลา
1. นำอังกิโมะออกจากตู้เย็น วางไว้ที่อุณหภูมิห้องประมาณ 30-40 นาที เพื่อทำการละลาย
2. แกะซองและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
3. จัดวางบนจาน และนำไปใช้ประกอบเมนูได้ตามต้องการ
*สินค้าบรรจุมาในซองสุญญากาศแบบพร้อมทาน
เปิดประสบการณ์ความอร่อยสุดพิเศษจากท้องทะเลลึกได้แล้ววันนี้! ตับปลาอังกิโมะ พร้อมให้คุณได้ลิ้มลองความอร่อยแบบต้นตำรับญี่ปุ่นได้ง่าย ๆ ที่บ้านของคุณ
✨ จัดจ้านถึงใจ! หวานนุ่มจากครีบหอยเชลล์ ผสานกับความแซ่บแบบไทย ๆ ✨
“ครีบหอยเชลล์ปรุงรสลาบ” สินค้าคุณภาพดีๆที่ผ่านกระบวนการปรุงรสแบบไทย ๆ ด้วยเครื่องลาบรสจัดจ้าน เผ็ด เปรี้ยว เค็ม ครบรส หอมข้าวคั่ว พริกป่น และสมุนไพรแบบไทย ผสมผสานกับความหวานธรรมชาติของหอยเชลล์ได้อย่างลงตัว กินเปล่า ๆ ก็ฟิน นกับข้าวก็อร่อย หรือจะทำเมนูก็ได้หลากหลาย เหมาะกับทุกสายกิน โดยเฉพาะสายลาบ สายซีฟู้ดต้องโดน!
วิธีรับประทานครีบหอยเชลล์ปรุงรสลาบ
1. รับประทานได้ทันที
• สามารถกินแบบ ready-to-eat ได้เลยทันที ไม่ต้องปรุงเพิ่ม
• รสชาติแซ่บนัว กลมกล่อม หวานหอยเชลล์ + เผ็ดลาบ
2. อุ่นเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหอม (ถ้าต้องการ)
• ใส่ไมโครเวฟ 10–15 วินาที (พออุ่น) จะทำให้กลิ่นหอมข้าวคั่วและเครื่องลาบเด่นขึ้น
• หรือผัดในกระทะร้อนเร็ว ๆ โดยไม่ใช้น้ำมันก็ได้
ทานกับอะไรอร่อย
• ข้าวเหนียวร้อนๆ
• สลัด ผักสด เช่น กะหล่ำปลี แตงกวา ถั่วฝักยาว
• ข้าวสวยร้อนๆ
• กินคู่กับเบียร์เย็น ๆ หรือเครื่องดื่มซ่าๆ ก็เข้ากันสุดๆ
• ทำเป็นหน้าแซนด์วิชหรือแซนด์วิชแซ่บๆ
❄️ การเก็บรักษา
• แช่เย็น (Chiller 0-4°C): ควรบริโภคภายใน 5-7 วันหลังเปิด
• แช่แข็ง (Freezer -18°C): เก็บได้นาน 2-3 เดือน
(เมื่อเปิดแล้วควรเก็บในภาชนะปิดสนิทและใช้ช้อนสะอาดตัก)
⚠️ ข้อควรระวังในการบริโภค
ผลิตภัณฑ์นี้มีส่วนผสมของหอย
• ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้อาหารทะเลหรือแพ้หอย
อาจมีความเผ็ด
• เด็กเล็กและผู้ที่ไม่ทานเผ็ดควรระมัดระวัง หรือควรทดลองชิมทีละน้อยก่อน
หลังเปิดบรรจุภัณฑ์แล้ว
• ควรเก็บในภาชนะปิดสนิท แช่เย็น และบริโภคภายใน 5–7 วัน
• หลีกเลี่ยงการใช้ช้อนหรือมือที่เปื้อนตักซ้ำเพื่อลดความเสี่ยงการปนเปื้อน
ห้ามแช่แข็งซ้ำ หากละลายแล้ว
• เพื่อรักษาคุณภาพของเนื้อหอยและความปลอดภัยทางอาหาร
• ควรบริโภคก่อนวันหมดอายุ ตามที่ระบุบนบรรจุภัณฑ์